5 ขั้นตอนทานของหวานไม่ให้เสียสุขภาพ


5 ขั้นตอนทานของหวานไม่ให้เสียสุขภาพ
วันที่ : 16 ก.ค. 2564

ขั้นตอน 5S ทำตามได้ง่ายๆ รีบทำก่อนจะสายไป

โรคเบาหวาน


ช่องทางการติดต่อ

รายละเอียด

S1: Salad (สลัด)
เมื่อเราไปห้างหรือต้องการไปทานของหวาน แนะนำให้ทานสลัดหรือทานผักเยอะๆ เพราะจะได้ไฟเบอร์จากการทานผัก ทานผลไม้

แนะนำว่าควรทานผักมากกว่าผลไม้ เนื่องจากในผลไม้มีน้ำตาลอยู่ แต่ในผักจะไม่ค่อยมีน้ำตาล ควรทานผักเยอะๆ ก่อนทานของหวาน เพราะผักมีไฟเบอร์เมื่อไฟเบอร์อยู่ในท้องแล้วทานของหวานเข้าไป ไฟเบอร์จะอุ้มน้ำตาลไว้ในตัว แล้วเราจะมีการขับถ่ายไฟเบอร์เหล่านั้นออกไป (ไฟเบอร์เป็นสิ่งที่ร่างกายย่อยไม่ได้) จึงทำให้เราไม่ได้รับน้ำตาลในส่วนนั้น เพราะฉะนั้นควรทานผักเยอะๆ ก่อนไปทานของหวาน

S2: Supplement (อาหารเสริม)
เมื่อเราทานสลัดเสร็จแล้วก็สามารถทานอาหารเสริมเข้าไป โดยหมอแนะนำ 2 ตัว คือ

1. Vitamin D ถ้าทานของหวานหรือคนที่เป็นโรคเบาหวานก็ควรทานวิตามินดี โดยวิตามินดีจะช่วยในเรื่องการเพิ่มอินซูลิน ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และวิตามินดียังช่วยเพิ่ม Insulin Sensitivity คือ การที่ทำให้อินซูลินมีประสิทธิภาพดีขึ้น สามารถลดน้ำตาลได้ดีขึ้น แนะนำให้ทาน Vitamin D3 ทาน 5,000 iu

2. Vitamin B เป็นวิตามินที่มีผลในเรื่องของน้ำตาลเป็นอย่างมาก นั่นคือ Vitamin B1 และ Vitamin B6

- Vitamin B1 ฟอร์ม Benfotiamine งานวิจัยพบว่า ในผู้ป่วยเบาหวานที่ทาน Benfotiamine มีภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดน้อยกว่าคนที่ไม่ทาน Benfotiamine คนที่เป็นเบาหวานมักมีภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับเรื่องหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง หรือหลอดเลือดที่ไต ซึ่งตัว Benfotiamine จะช่วยปกป้องหลอดเลือดเหล่านี้

- Vitamin B6 ฟอร์ม Pyridoxamine ซึ่ง Vitamin B6 ช่วยป้องกันการสร้างสาร AGE คือ สารที่ทำให้แก่ เวลาที่เราทานน้ำตาลเข้าไปแล้วตัวน้ำตาลไปเกาะที่โปรตีนก็จะเกิดสาร AGE ขึ้นมา สารนี้จะก่อให้เกิดความเสื่อม ความแก่ของเซลล์ เช่น เมื่อเราต้มไข่ธรรมดาไม่ได้ใส่น้ำตาลลงไป

เนื้อของไข่ขาวก็จะนุ่ม หยุ่น แต่ถ้าเป็นไข่พะโล้ที่เป็นการต้มไข่และเคี่ยวกับน้ำตาล เนื้อไข่ขาวของไข่พะโล้จะแข็งกว่าไข่ต้มทั่วไป ตัว Vitamin B6 หรือ Pyridoxamine จะช่วยป้องกันการสร้างสาร AGE แนะนำให้ทานเป็น Vitamin B100 ซึ่งมีวิตามินครบหมดทุกตัว สำหรับคนที่เป็นเบาหวานแนะนำให้ทาน Vitamin B100 เป็นอย่างมาก

วิตามินดีกับวิตามินบี แนะนำให้ทานพร้อมอาหาร โดยทานอาหารไปครึ่งหนึ่งก่อนแล้วทานวิตามิน จากนั้นก็ทานอาหารอีกครึ่งหนึ่งตามเข้าไป นี่คือวิธีการทานวิตามินพร้อมอาหาร ซึ่งเป็นการคลุกเคล้าเพิ่มวิตามินให้กับอาหารนั่นเอง

S3: Sharing
หาคนมาแชร์หรือมาทานของหวานด้วยกัน เช่น ถ้าทานไอศกรีม 1 ลูก เราก็จะได้รับน้ำตาลจากไอศกรีม 1 ลูกนั้นไปเต็มๆ แต่ถ้าเราหาคนมาแชร์ไปครึ่งหนึ่ง น้ำตาลที่จะเข้าไปในร่างกายเราก็จะลดลง 50%

S4: สติ
ควรทานของหวานอย่างมีสติ เวลาที่เราทานของหวาน บางคนทานไป คุยไป แปปเดียวหมดไปแล้ว ยังไม่ทันลิ้มรสความอร่อยว่าเป็นยังไงเลย สุดท้ายจึงไปสั่งเพิ่มมาอีก ดังนั้นควรทานของหวานอย่างมีสติ ทานช้าๆ จดจ่อกับทุกคำที่ทานไป หรือควรใช้ช้อนเล็กๆ เวลาทาน จะได้กินในปริมาณที่เล็กๆ เวลากินเข้าไปก็จะมีสติ เวลาทานอยากให้ทานอย่างมีความสุข

ถึงแม้ว่าของหวานจะไม่ดีต่อร่างกาย แล้วน้ำตาลก็ทำให้ภูมิของร่างกายตกลง จึงต้องมีสิ่งมาแก้นั่งคือ เมื่อเราทานของหวานแล้วเรารู้สึกมีความสุข รู้สึกดี จะเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของเราให้เพิ่มขึ้นได้ ถึงแม้ของหวานจะไม่ได้จำเป็นในการหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่ของหวานก็จำเป็นในการหล่อเลี้ยงจิตใจได้

S5: Shopping
เมื่อทานของหวานแล้วควร Shopping ต่อ เพราะว่าเวลาที่เราทานของหวานเข้าไปแล้วเราไปเดิน หรือไปออกกำลังกาย กล้ามเนื้อของเราจะดึงน้ำตาลที่เราทานเข้าไปมาใช้ เมื่อกล้ามเนื้อดึงน้ำตาลไปเผาผลาญ น้ำตาลในเลือดก็จะไม่สูง ถ้าอยากไปทานของหวานที่ห้างอย่าพึ่งไปเดิน Shopping ก่อน ควรไปทานของหวานก่อนแล้วค่อยมาเดิน Shopping ต่อจะดีกว่า

สนใจสินค้าสุขภาพที่คุณหมอพูดถึง
สามารถสั่งซื้อได้ทาง LINE : https://lin.ee/piE9kvf

ติดตามความรู้เรื่องสุขภาพ และวิธีการดูแลสุขภาพได้ที่
เพจ : อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ
Youtube : https://youtube.com/c/อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ
IG : dr.cant.help 

Tags
NCD MEDICALCLINIC อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ โรคเบาหวาน เบาหวาน
รายการมาใหม่
ดูทั้งหมด
รายการน่าสนใจ
ดูทั้งหมด

พันธมิตร